ตลาดออนไลน์สไตล์ไทยที่เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลและการสั่งซื้อออนไลน์ในสังคม

Social Commerce คืออะไรและทำไมควรสนใจ?

Key Takeaways:

  • Social Commerce คือการซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram และ Facebook โดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์ม
  • Social Commerce เน้นเพิ่มประสบการณ์ทางสังคมผ่านการรีวิวและการแชร์
  • 81% ของผู้ใช้มองหาสินค้าผ่าน Instagram และ Facebook
  • Social Commerce ช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายอย่างรวดเร็ว
  • การทำ Hyper-targeting เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ
  • ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น Nike ที่ใช้ Instagram เพิ่มยอดขาย
  • การเลือก Influencer ที่สอดคล้องกับแบรนด์ช่วยเพิ่มความเชื่อถือ
  • Social Commerce กำลังเติบโตในไทย โดยเฉพาะวัยรุ่นถึงวัยกลางคน
  • แพลตฟอร์มยอดนิยมมี Facebook Shops, Instagram Shopping, และ Pinterest Shopping

Social Commerce กำลังเปลี่ยนวิธีการช็อปออนไลน์ไปอย่างไร? หากคุณเป็นนักการตลาดดิจิทัล เจ้าของธุรกิจ หรือผู้ประกอบการ ต้องรู้ว่าการใช้ Social Commerce คือคำตอบสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์ของการขายออนไลน์! ตั้งแต่ Facebook Shops ถึง Instagram Shopping ไปจนถึง Pinterest Shopping ความแตกต่างของ Social Commerce กับ E-commerce คืออะไร? แล้วทำไมมันถึงสำคัญ? คลิกเพื่อค้นพบ!

Social Commerce คืออะไร?

ภาพแสดงข้อความ

"Social Commerce" คือการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียโดยตรง ในการที่ให้ลูกค้าซื้อสินค้าแค่กดไม่กี่ปุ่มก็ทำได้แล้ว เช่น ซื้อผ่าน Instagram หรือ Facebook แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกดูและซื้อสินค้าได้ในทันที โดยไม่ต้องเข้าเว็บไซต์อื่น นี่ช่วยทำให้ประสบการณ์การซื้อสินค้าง่ายขึ้น กระบวนการที่ไม่ซับซ้อนนี้ยังเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

อธิบาย Social Commerce อย่างละเอียด

Social Commerce เป็นมากกว่าแค่การซื้อของออนไลน์ มันรวมเอาแง่มุมของสังคมเข้ามา ลูกค้าสามารถรีวิว คอมเมนท์ หรือแชร์สินค้าลงในโซเชียลมีเดียได้ วิถีแบบนี้สร้างความเชื่อมโยงและประสบการณ์แบบสังคมที่แน่นแฟ้น มากกว่าการซื้อผ่านเว็บทั่วไป สถิติต่าง ๆ บ่งชี้ว่า คนถึง 81% มองหาสินค้าผ่าน Instagram และ Facebook และอีก 48% ใช้ Pinterest สำหรับการช้อปปิ้ง

ประวัติและวิวัฒนาการของ Social Commerce

การซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเติบโตของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram ในช่วงแรก ๆ ร้านค้าหรือแบรนด์จะใช้สื่อเหล่านี้เพื่อโฆษณา แต่ไม่มีกระบวนการซื้อขายโดยตรง เมื่อเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มพัฒนาขึ้น Social Commerce ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญใหม่ ช่องทางนี้มีประสิทธิภาพเพราะทำให้บริษัทมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า และสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ง่ายผ่านการตอบคอมเมนท์หรือส่งข้อความตรง วิธีนี้ทำให้ Social Commerce กลายเป็นการซื้อขายแบบใหม่ ที่เติมเต็มและเชื่อมโยงประสบการณ์ของลูกค้ากับแบรนด์อย่างราบรื่น

ความแตกต่างระหว่าง Social Commerce และ E-commerce คืออะไร?

ภาพกราฟิกเกี่ยวกับ Social Commerce แสดงให้เห็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์

Social Commerce และ E-commerce มีจุดต่างที่สำคัญ การซื้อขายผ่าน Social Commerce เกิดขึ้นในแอปโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มทั้งหมดอยู่ในที่เดียว ลูกค้าจึงซื้อได้ในไม่กี่คลิก เช่น เลือกสินค้าผ่าน Facebook แล้วซื้อได้เลย E-commerce แบบเดิม ผู้ใช้ต้องไปยังเว็บไซต์อื่น อย่างการค้นหาสินค้าในเว็บไซต์แล้วทำการสั่งซื้อ

เปรียบเทียบข้อดีและข้อด้อยของ Social Commerce และ E-commerce

Social Commerce ช่วยให้ลูกค้าเจอสินค้าที่ต้องการเร็ว ลูกค้าเห็นสินค้าบน Instagram ได้ทันที ซื้อเร็ว ไม่ต้องสลับแอป แต่ E-commerce ทำให้ขาดการเชื่อมต่อของประสบการณ์ซื้อเพราะต้องสลับแอปและเว็บไซต์

Social Commerce สร้างปฎิสัมพันธ์ทางสังคม ลูกค้าคอมเมนท์ แชร์ หรือส่งต่อสินค้าให้เพื่อนได้อย่างสะดวก เช่น การแบ่งปันลิงก์สินค้าในความคิดเห็นกลุ่มเพื่อน แต่ E-commerce ขาดการเชื่อมต่อแบบนี้ ไม่มีที่เหมาะสมให้ลูกค้าแชร์หรือคอมเมนท์

กรณีศึกษาเปรียบเทียบธุรกิจที่ใช้ Social Commerce กับ E-commerce

ธุรกิจที่ปรับ Social Commerce เข้ากับแผนกลยุทธ์มีตัวอย่างที่สำเร็จ ธุรกิจเสื้อผ้าที่ใช้ Social Commerce บน Instagram เจาะกลุ่มวัยรุ่นใช้ถึง 200% ของยอดขายผ่านโพสต์ซื้อที่สวยงาม ทางตรงนั้นประสบความสำเร็จได้เพราะการสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายในโซเชียล

ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่ใช้ E-commerce มักมีกระบวนการที่มีขั้นตอนซับซ้อน ธุรกิจอาจต้องลงทุนมากในการพัฒนาเว็บไซต์และกระบวนการซื้อ-จ่ายที่น่าสนใจ เช่น เว็บไซต์ขายสินค้า IT ที่ต้องดีไซน์ให้ข้อมูลสินค้าอย่างชัดเจน เพราะการตัดสินใจซื้อสินค้าประเภทนี้ต้องใช้ข้อมูลเยอะ

ในสรุป Social Commerce และ E-commerce มีข้อดีและจุดแข็งต่างกัน เลือกใช้ตามความเหมาะสมของธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

มีแพลตฟอร์ม Social Commerce อะไรบ้างที่เป็นที่นิยม?

คุณสมบัติเด่นของ Facebook Shops

Facebook Shops เริ่มต้นง่าย ผู้ขายตั้งร้านออนไลน์ได้ในไม่กี่ขั้นตอน ทุกคนทำได้ เพราะ Facebook มีเครื่องมือที่ช่วยสร้างแคตตาล็อกสินค้า ผู้ขายสามารถปรับแต่งหน้าร้านให้ดึงดูดคนได้ ถึงแม้จะแตกต่างจากร้านอื่น แต่มีสไตล์ของตัวเองค่ะ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสั่งซื้อและจ่ายเงินผ่าน Facebook ได้เลย ไม่ต้องไปอีกที่ ทำให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

เทคนิคการขายบน Instagram Shopping

Instagram Shopping มีฟีเจอร์ที่ทำให้สินค้าดูโดดเด่น เช่น การติดแท็กสินค้าบนภาพ ถ้าคุณมีรูปสินค้าที่สวย ลูกค้ากดดูรายละเอียดได้ทันที และสินค้ายังไปแสดงบน "Shop" ของ Instagram ด้วยนะคะ สิ่งสำคัญคือรูปต้องดึงดูด ความสวยช่วยเพิ่มยอดขาย ลูกค้าจะเห็นสินค้าที่อินเทรนด์ได้ง่าย ทำให้อินทรีย์นะคะ

ความเป็นไปได้กับ Pinterest Shopping

Pinterest Shopping มีเสน่ห์เฉพาะตัว หากคุณมีสินค้าสวย ๆ ที่ต้องการให้คนเห็น Pinterest เป็นเวทีที่ดี สินค้าของคุณจะเป็น Inspiration ให้กับคนอื่น ผู้ใช้ Pinterest มีแนวโน้มซื้อมากขึ้นเพราะแรงบันดาลใจที่ได้เห็น สำหรับเจ้าของแบรนด์ การสร้างบอร์ดสินค้าที่ดึงดูดจะสร้างโอกาสให้น่าสนใจมากขึ้นค่ะ เจ้าของร้านควรใช้แนวทางการทำภาพให้สวยและดึงใจเพื่อให้ขายได้ง่ายกว่า

Social Commerce ไม่ใช่แค่ขายของ แต่เป็นการเชื่อมต่อกับลูกค้าในยุคดิจิทัล ทำให้ทุกอย่างง่ายและรวดเร็วค่ะ!

ทำไมการใช้ Social Commerce ในธุรกิจจึงมีประโยชน์?

การเพิ่มยอดขายและการมีส่วนร่วมกับลูกค้า

Social Commerce ทำให้การซื้อขายง่ายขึ้น ผู้ใช้สามารถซื้อของด้วยการคลิกไม่กี่ครั้ง หลายคนใช้งานได้ง่ายผ่าน Instagram หรือ Facebook ด้วยปุ่ม "ซื้อเลย" ที่พร้อมใช้งาน แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายเพราะลูกค้าไม่ถูกขัดจังหวะการซื้อ ความสะดวกนี้ทำให้ลูกค้าซื้อของโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปที่แพลตฟอร์มอื่น นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์และลูกค้าจะเกิดขึ้นง่ายขึ้น เพราะลูกค้าสามารถรีวิวหรือแชร์สินค้าไปยังเพื่อน

Hyper-targeting: คีย์ความสำเร็จในการเข้าถึงลูกค้าอย่างแม่นยำ

Social Commerce ช่วยให้แบรนด์รู้ว่าลูกค้าของพวกเขาต้องการอะไร ข้อมูลที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีจะทำให้แบรนด์เข้าใจว่าผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียบางกลุ่มต้องการอะไร การใช้ข้อมูลนี้เพื่อโต้ตอบและเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการให้ลูกค้าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น Hyper-targeting ทำให้แบรนด์สามารถส่งโปรโมชั่นให้คนที่ต้องการได้โดยตรง สร้างโอกาสในการซื้อขายที่สูงขึ้น

ตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จด้วย Social Commerce

หลายแบรนด์ได้ใช้ Social Commerce และประสบความสำเร็จ Nike เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ใช้ Instagram อย่างได้ผล ด้วยแคมเปญที่เน้นการออกแบบที่น่าสนใจและการตอบสนองต่อลูกค้าแบบทันที Nike สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์และเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก แบรนด์อื่น ๆ อย่าง Sephora ก็ใช้ Pinterest เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าและความคิดเห็นจากผู้ใช้ หากเราดูสถิติ 81% ของคนช้อปผ่าน Instagram และ Facebook สิ่งนี้บ่งบอกว่า Social Commerce เป็นเครื่องมือที่สำคัญในยุคนี้

สรุปSocial Commerce

การทำ Social Commerce มีประโยชน์ในการเพิ่มยอดขายและความมีส่วนร่วม. มันต่างจาก E-commerce ด้วยการเชื่อมโยงทางสังคมที่ง่าย. Facebook Shops, Instagram Shopping, และ Pinterest Shopping มีบทบาทสำคัญ. เราสามารถเรียนรู้จากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ. ในไทย, Social Commerce กำลังเติบโต. กลยุทธ์เชิงรุกและการใช้ Influencer ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จ. การจัดการอุปสรรคเป็นกุญแจสำคัญ. Social Commerce จึงเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับธุรกิจทุกประเภท.

Similar Posts